Siampet.com  >>  Welcome to Siampet in Thailand        
 
       ภูกระดึง - แก่งหินเพลิง
            
   เรื่องเล่าการเดินทาง
 
 

 


 

                           



 
 
 
 


        
  


 
           ภูเขียว  Phu Khieo Wildlife Sanctuary  

                      เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว Phu Khieo Wildlife Sanctuary 
                    เขตรัษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จัดตั้งขึ้นจากรายงานข่าวที่เกิดขึ้นในปี2513 เกี่ยวกับกระซู่
       (แรดสองนอ) ตัวที่สาม ถูกชาวบ้านล่าได้ในป่าภูเขียว กรมป่าไม้จึงได้ส่งนายมานพ ชมพูจันทร์
       ไปสำรวจสภาพป่าและความเหมาะสมต่างๆโดยพบว่ายังมีร่องรอยของกระซู่และสัตว์ป่าอีกหลาย
       ชนิด สภาพป่ายังบริสุทธิ์และอยู่ในขั้นเตรียมการทำไม้ แต่มีราษฎรเข้าไปจับจองบุกรุกแล้วถาง
       ป่าหลายแห่งในบริเวณทุ่งกระมัง ศาลาพรม หนองไรไก มอภูดิน ปางม่วง และซำเตย และเตรียม
       จะบุกรุกมากขึ้นจึงดำเนินการจัดตั้งป่าภูเขียวให้เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าจนกระทั่งได้รับความเห็น
       ชอบจากคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า จนบรรลุผลสำเร้จโดยประกาศคณะปฏิวัติ
       ฉบับที่ 154 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2515 ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 89 ตอนที่ 82 วันที่
       26 พฤษภาคม 2515 ให้ป่าภูเขียวเนื้อที่ 883,125 ไร่ เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและได้ผนวกพื้น
       ที่เพิ่มเติมเป็น 975,000 ไร่ โดยประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 96 ตอนที่ 32 วันที่ 8 มีนาคม
       2522
   
            ทรัพยากรพรรณพืชและสัตว์ป่า Flora and Fauna
        เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียวมีเขตชีวภูมิศาสตร์ถึง 2 เขต         คืออินโดไชนิสและอินโดเบอร์มิส จึงทำให้เป็นที่รวมความหลากหลาย
        ของชนิดพันธุ์ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์

        พรรณพืช
        จากข้อมูลของฝ่ายจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พบว่ามีพืชท่อลำเลียงทั้งหมด 213         วงศ์ 792 สกุล 1,528 ชนิด จำแนกเป็น
        - หมวดพืชไม่มีเมล็ด จำนวน 20 วงศ์ 24 สกุล 31 ชนิด
          - พืชมีเมล็ด จำแนกเป็น 2 หมวด
                  1. หมวดพืชเมล็ดเปลือย จำนวน 5 วงศ์ 7 สกุล 10 ชนิด
                  2. มวดพืชเมล็ดมีรังไข่ห่อหุ้ม จำแนกเป็น 2 ชั้น
                       ก. ชั้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว จำนวน 26 วงศื 172 สกุล 348 ชนิด
                       ข. ชั้นพืชใบเลี้ยงคู่ จำนวน 151 วงศ์ 589 สกุล 1,150 ชนิด

     จำนวนชนิดของสัตว์ป่าที่พบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า สรุปได้ดังนี้
         สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 110 ชนิด ที่สำคัญ อาทิเช่น กระซู่ , เสือโคร่ง , เสือดาว , เสือดำ ,
       เสือลายเมฆ , เสือไฟ , เสือฟาน , กระทิง , ช้าง , หมาใน , ค่างแว่นถิ่นเหนือ , วัวแดง ,    กวาง ,
       เก้ง , เนื้อทราย , ละมั่ง , อีเห็นลายเสือโคร่ง เป็นต้น

         สัตว์จำพวกนก 414 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ นกฟินฟุท , นกอ้ายงั่ว , เป็ดก่า , นกกระทุง ,
       นกเงือกสีน้ำตาล , นกขุนแผนหัวแดง , นกยูง ,ไก่ฟ้าพญาลอ ,    นกพญาปากกว้างอกสีน้ำเงิน ,
      นกแก๊ก , นกแต้วแร้วสีน้ำเงิน , ไก่ฟ้าหลังขาว , พญาไฟ เป็นต้น
 สัตว์เลื้อยคลาน 75 ชนิด
      ที่สำคัญได้แก่ จระเข้น้ำจืด , ตุ๊กแกป่าดงพญาเย็น , เต่าเหลือง , เต่าปูลู เป็นต้น
              สัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก 28 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ กบนา , กบหัวโต , เขียดตะปาด ,
       อึ่งหลังขีด
              ปลา 87 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ ปลาแค้ติดหิน , ปลาจาดถ้ำ เป้นต้น


        เรื่องเล่าจากป่าภูเขียว
       การเดินทางสู่ภูเขียว หลังจากไปเที่ยวที่ทุ่งดอกระเจียว ที่อุฑธยานแห่งชาติ
    ป่าหินงาม นอนที่นั่นไป 1 คืน ตื่นเช้ามา ก็ เดินทางสู่ภูเขียว จังหวัด ชัยภูมิก็ไปด้วยกัน
    4 คน GANK 4  เรียกให้ เท่ห์หน่อย ผู้ร่วมขวบวนการ มี หนุ่ม ฟีน ฟิกแบะ
     หมัดบูรพา 4 คนเท่านั้นเอง เดินทางด้วยรถกระบะ  นั่งกันสบายๆ
    สัมภาระเต็มท้ายรถเชียวหละ นั่งรถกว่าจะถึงภูเขียวก็นานอยู่เหมือนกันนะหลายชั่วโมง
     ทางเข้าภูก็ดีนะถนนดีใช้ได้เลยแต่เข้าไปลึกมาก กว่าจะถึง      ก่อนถึงทางเข้ามีร้านขายของก็ซื้อน้ำแข็ง ใส่กล่องโฟมไป 7 โล
     และก็ เบียร์ดำ กับยาเขียว (โค้กน่ะ) เอาไว้กินกัน ก่อนทางเข้า แวะจอดรถ
    โทรศัพท์หาเพื่อนๆหน่อยเพราะตรงนั้นมีสัญญาณดทร น่ะ มีแต่สัญญารของ       
    GSMส่วน ดีแทก ไม่มีเลย ก็มีของ ผมกับของฟีนเท่านั้นที่ใช้ได้ อ่อ
     จุดตรงนั้นที่โทรมีนกรับแขกด้วย ตัวเอ้บเลย นกกระทุง
     (ในหนังสือ BIRD OF THAILAND ตัวที่ 42) คนที่นั่นเขาบอกว่าเอามาเลี้ยงแต่เล็ก
     อยู่ตรงนั้นตลอด  มีอ่างบัวให้มันอันเอาไว้กินน้ำ อ่อ อาหารที่มันกินก้จำพวกปลาไป      ทีแรกว่าจะให้เหมือนกันปลา น่ะ เรามี หลังรถ แต่เป้นปลากระป๋อง มันคงไม่กิน      
     เราเลยยืนถ่ายรูปคู่กับมันสัก 2 รูป มันงับแหลกเหมือน
     กันนะเจ้านกกระทุงเนี่ย ต่อจากนั้น ก็เดินทางเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ภูเขียว     
   พอถึงทางเข้าก็เจอเจ้าหน้าที่ที่นั่น เลยส่ง ฟิกแบะเข้าไปเจรจา ไอ้หนุ่มมันนั่งหน้า
     ไม่ยอมลง กินขนมอย่างเดียว เอ็อออ สรุปว่าเขาเก็บค่าเข้าคนละ 20 บาท รถกับคน รวม 30 สรุปเบ็ดเสร็จ
   90 บาท ถูกเจงงๆๆ ถ้าเป็นชาวต่างชาติก็หัวละ 200 บาท เจ้าหน้าที่ก้คุยดีนะ เขาเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้
   อาทิตย์นึง มีคณะมาทำรายการไปตามดุรอยกระทิงในป่า ปรากฎว่า โดนกระทิงวิ่งเข้าชาร์จด้วย
   สรุปคืออาการบาดเจ็บสาหัสปางตายเลย ต้องเอาเฮลิคอปเตอร์เข้าไปรับออกมาจากป่าเลยเชียวหละ
    วู้วววว ตื่นเต้นเลยนะนั่น หลังจากนั้นก็ขับรถเข้าไป ระหว่างทางก็เจอกวางก่อนเลย เป้นฝุงเลยตรงบ้าน
   เจ้าหน้าที่ มีอยู่ตัวนึง คอเหวอะเชียว สงสัย ไม่โดนเสืองับ ก้โดนเจ้าหน้าที่นี่หละ งับเอา อิอิ ขับรถไปเรื่อย
บรรยากาศดี ป่าคึ้มเชียว ไม่มีที่ท่าว่าจะมีฝน ขับไปประมาณหลายกิโลเหมือนกันนะในป่า จนเจอจุดที่
เจ้าหน้าที่อยู่ก้ขับรุเล่นๆไป ไปหาที่กางเต้นท์ด้วย ก็มีป้ายบอกมี จุดกางเต้นท์ 2 แห่งให้กาง เราเลยไปดู
จุดที่ 2 ก่อน ไปทางทุ่งกระมัง ขับไปก็มีบ้านพักสำหรับเจ้าหน้าที่ กับ นักท่องเที่ยวสำหรับที่จองไว้ล่วงหน้า
และจุดกางเต้นท์ก็อยู่ตรงนั้น หลังจากปรึกษากันก้เลยลงมติว่า ไม่เอา มันเจริญไป คนเยอะไป ไม่เหมาะ
กับชาวเมืองอย่างเรา (ว่าไปนั่น) ก็เลยขับรถไปเรื่อยๆต่อ ถึงทุ่งกระมัง โอ้โฮฮฮฮ อย่างกับ จัดฉากเจอเลย
ครับ กวางตัวเอ้บบเลย มีเนื้อทราย(ถามเจ้าหน้าที่ว่าตัวอะไร) ละมั่ง เก้ง เดินกนทั่วทุ่งเลยหละ นี่ขนาดเวลา
ประมาณ 4โมงเย็นนะ ยังเดินพาเหรดกันขนาดนี้ ไม่กลัวคนอีกตะหากสงสัยนานๆเห้นทีนึง ก็ดูกันแป้บนึง
พร้อมกับ คว้าเจ้า โซนี่กล้องถ่ายรูปอันเดียวที่มี ถ่ายรูปเก็บไว้ ก้ขับรถไปต่อ วนๆไปวนๆมา ก็หาที่กางเต้นท์
ไม่ได้เลยไปดู จุดที่ 2 ที่กางเต้นท์ ไอ้ ฟีน มันก้ขับไป จนถึงที่นั่น มีลักษณะ เป้นที่ว่างขนาดสนามฟุตบอล
ขนาดย่อมๆเลย มีห้องน้ำ 4 ห้อง เป้น ชักโครก ทังหมด ไฟฟ้าก็มี แต่ไม่มีไฟ และที่สำคัญไม่มีใครมา
กางเต้นทืที่จุดนี้เลย น่าวังเวงจริงๆ มีทางเข้าออกทางเดียวและก็ในที่สุดก็เลยตกลงกัน ที่แบบนี้หละ
เหมาะกับเราที่สุดเลย จัดการกางเต้นท์ ณ จุดนั้น และเริ่มหุงหาอาหาตามที่มีก็พวก ต้มยำปลากะป๋อง
เนื้อสวรรค์ น้ำพริกปลาดุก ไข่เจียว ปิดท้ายด้วย เงาะกะป๋อง อิ่มเลย ก็เดินดูอะไรสักพักแถวนั้น
นกเยอะนะ เยอะมากด้วยแต่เสียดายไม่ได้เอากล้องส่องทางไกลไป เฮ้อออ หนุ่มมันตาดีเรียกไปดูก่อนเลย
มันเจอนกตัวนึงเราเลยไปดูอ่อ ตัวนี้ นกหัวขวาน 3 นิ้วหลังสีทอง (ตัวที่ 398) มันก็บินขึ้นไปเกาะต้นไม้ใหญ่
ใช้ปากของมัน ทั้งโขก ทั้ง เจาะ ต้นไม้ นี่เองสาเหตุที่ต้นไม้ในป่าเป้นรูและถูกทำเลยเจอตัวแล้ว
และตัวต่อมาที่เจอ แดงสยาม ครับ หรือพญาไฟใหญ่ (ตัวที่ 502 ในหนังสือ) ตัวผู้จะสีแดง สดจริงๆ
ตัวเมียจะสีเหลือง สวยงาม สวยเจงๆๆ เลยเรียก ฟิกแบะมาจับ ภาพนกเก้บไว้ในกล้องดิจิตอลของเรา
วู้วววว งามแท้ๆๆ ยิ่งตอนมันโดนแดดแล้วด้วยนะ สวยจริงๆ อยากจะเอาไปเลี้ยงที่บ้านเหือนกัน
แต่ไม่มีปัญญาจะจับมัน นกอย่างอื่นที่เจอ ก็พวก นกปรอทหัวจุก กางเขนดง เขียวก้านตอง นกขุนทอง
กะรางหัวหงอก และอีกหลายชนิด ที่มองเห็นไม่ค่อยค่อยชัดเพราะมันอยู่สูงเหลือเกิน ตัวเล็กบ้างใหญ่บ้าง
ร้องกันเสียงดังๆก็หลายตัว พูดถึงเสียงนี่ได้ยินเสียง ชะนีร้องลั่นเชียว แต่ไม่ยักกะเห็นตัวมัน สงสัยว่า
เจ้าหน้าที่มันเปิดเทปหรือป่าววะ นี่ขนาดจุดที่เรากางเต้นท์จุดเดียวนะยังเจอเยอะขนาดนี้เลย ถ้าเข้า
ไปลึกกว่านี้จะขนาดไหน สักพัก ฟีน มันก็เห็นมีทางเดินเข้าไปในป่าเป็นทาง เลยชวนเราเข้าไป
เราก็เข้าไป อุ่นใจหน่อยเราะพกมีดพับไปด้วย(เจอสัตว์ป่ายังสงสัยอยู่ว่ามีดพับจะช่วยได้ไหมนั่น)
ระหว่างทางเข้าไปก็เจอ รอยเท้าสัตว์เยอะเลย รอยเท้าของพวกกวางนี่ลักษณะเป็นกีบๆนี่เยอะแยะเลย
ที่ สำคัญ มีอยู่รอยนึง น่าสนใจครับ ใหญ่ ขนาด ฝ่ามือผม กางออกเต็มที่ น่าจะเป็นสัตว์จำพวกกินเนื้อนะ
จากประสบการณ์ ฟีนมันว่าน่าจะเป้นเสือ เราก็ว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น รอยยังใหม่ๆอยู่เลย
ว่าแล้วด้วยสัญชาติญาณหรือประสบการณ์ที่ไม่ต้องบอกกัน เราเลยเดินออกจากตรงนั้น
อย่างมีเชิงเล็กน้อย พร้อมกับไปเล่าเรื่องที่เจอให้ หนุ่ม กับ ฟิกแบะฟัง มันก็เลยมาดูก็
และมีความเห็นที่ตรงกันว่าร่องรอยอาจเป็นอย่างที่เราคิด.... หลังจากนั้นก็อาบน้ำ แต่งตัว
กะว่าคืนนี้เวลาดีจออกไปส่องสัตว์สักหน่อย ไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าจะมาส่องสัตว์ เขาก็ไม่ว่าอะไร
แนะนำให้เราไปแถวทุ่งกระมังเพราะสัตว์เยอะ เราก็เลยรอ รอ รอ.... รอ เวลา พระอาทิตย์ตกดินนนนน
จึงค่อยเดินทางกัน

                     หลังจากมืดค่ำแล้วเวลาปะมาณ ทุ่มกว่าๆได้ ต้องประมาณเอาเพราะผมไม่ได้พก
นาฬิกาไปด้วย จึงเริ่มเดินทางไปส่องสัตว์กัน โดย มี ฟีนเป้นคนขับรถ หนุ่มนั่งข้างๆ ผมนั่งอยู่ข้างหลังซ้าย
และฟิก นั่งหลังขวา พร้อมไฟฉายสปอร์ตไล้ท์ ที่แถมมาตอนซื้อน้ำมันเครื่อง 1 อัน ลองฉายดูก็สว่าง
พอใช้ได้เลย พอรออกไปได้ยังห่างจากจุดกางเต้นท์เลย ครับ ฟิกมันลองฉายไฟ มันเฮ้ยย ตัวไรว
ะมองมาทางมันตาวาววเลยย เลยแายไปพร้อมกับช่วยกันดู เป็นอีเห็นครับ อีเห็นลายเสือโคร่งซะด้วย
เห็นกันพร้อมกัน 4 คน กำลังคุ้ยหาเศษอาหารที่นักท่องเที่ยวกลุ่มก่อนหน้าทิ้งร่องรอยเอาไว้ พอมันเห็น
เราส่องไฟไปทางมันเข้า ัมนคงอายมั้งครับ มันค่อยๆเดินหายเข้าไปในป่าข้างๆเลย อ่ะ ตัวแรกก้ประสพ
ความสำเร็จเล็กๆแล้ว ผมคิดอยู่ในใจ ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างนี้หรือป่าว แล้วก้ขบรถไปต่อออกไปสักแป้บ
แวะบ้านเจ้าหน้าที่หน่อยนึง คือเมื่อเย้นฝากเขา ชาร์จแบตเตอรี่ กล้องถ่ายรูป กับโทรศัพท์มือถือ
ไว้เลยเข้ามาเอา ก็ดูไฟในแบตเตอนรี่ มันแสดงข้อมูลออกาว่า ใช้งานได้ อีก สัก 70 กว่านาที
ก็พอได้เนอะ ที่นี่เขาจะปั่นไฟตอน 18..00 น . ถึง ประมาณ 23.00 น ถ้าจำไม่ผิดนะ เราก็ลเยเดินทาง
ขับรถไปสักแป้บ ฟิกมันก็ฉายไฟไปเรื่อย จนเจอ กับสัตว์กลุ่มแรกเลย คือ กวาง เก้ง มีละมั่งด้วยเนื้อทราย
ก็มี กระจายกันอยู่ห่างๆ ฟิกมันเลยให้เราถือไฟฉายไว้ มันเลยทำการ ถ่ายรูปไว้พอสมควร แต่
มันค่อนข้างจะมืดหน่อยขนาดมีสปอร์ตไล้ท์ช่วยแล้วเนี่ย แต่ สัตวืที่เราถ่ายรูปมันก็เฉนะ
ไม่วิ่งหนีไปไหน สงสัยไม่เคยเจอมนุษย์อย่างเราเท่าไหร่หรือไม่ก็อยากถ่ายรูปอ่างเป็นดารามั้ง
ก็ดูจุดนั้นจนอิ่ม ก้ขับรถไปต่อทีนี้ เราเลยกลายเป้นคนฉายไฟตามข้างทางมั่ง ฉายไปเเรื่อก็จะะ
เจอพวกกวาง เนื้อ ทราย แล้วก็เก้งกับละมั่งนี่หละละ เท่าที่เห็นง่าย สักแป้บ 1 ไฟที่เราฉายก็สะดุด
กับอะไรบางอย่างที่ข้างทางในพงหญ้าอันรก ตามันวาวเชียวมันก็เดินตวมเตี้ยมไปเรื่อยๆ
สัตวืที่เห็นนี่น่าจะเป็นตระกูลแมวป่ามั้ง ลายสวยเหมือนกัน มาให้เห็นแป้บเดียวยังไม่ทันถ่ายภาพมันก
็ เดินหายไปพงหญ้าซะก่อน แต่ แปปี้แล้วที่เห้นมันน่ะ หลังจากนั้นก็เคลื่อนรถต่อไป ในใจอยาก
เจอช้างมากกว่า แต่ไกี่ทีเจอแต่ขี้ช้างซะนั่น สักพักก็ไปถึงบริเณทุ่งกระมัง โอ้โฮ สัตว์มากินหญ้า
กันเยอะเจงๆๆ เห้นไกลๆ แายไฟทีโดมันมนก้สบตากับเราที ค่อยข้างเยอะนะ พวกกวาง เก้ง
เนื้อ ทราย กับละมั่งที่นี่ เห็นพวกนี้แล้วนึกถึงเสือ ถ้ามันอยู่แถวนี้สงสัยอิ่มสบายไปเลยหละ
แต่ใจผมนี่ ถ้าเราเจอ ผีล่ะ ผีกระสือประมาณนั้น ลอยอยูกลางทุ่งจะทำไงวะ 555 แต่คงไมเจอหรอก
เพราะ กระสือมันไม่ใช่สัตว์ ป่านี่หว่าเนอะ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น ซึ่งได้ยินพร้อมกันทั้งสี่คน
ติ้ด.. ติ้ด ติ้ด.. ติ้ดๆ ทั้งหมดมองหน้ากัน แล้วไอ้ฟีนก็ตะโกนถาม ใครพกเพจเจอร์มาวะ
หรือเสียงโทรศัพท์ใครดัง เสียงนั้นก็ยังคงดังอยู่ ซึ่งเราก้ยังยอกรถรอฟังเสียงนั้น เช็กไปเช็กมา
ก็ไม่มีใครนี่ ใครที่ไหนสมัยนี้จะพกเพจะเจอร์วะ ผมพูดขึ้น ทุกคนก็เห็นด้วย แล้วเราก็หาเจ้าของ
เสียงติ้ดๆนั้น ในที่สุดก็เจอจนได้ เสียงนั้นดังอยู่ในป่าข้างทาง ทั้งหมดกสงสัย ตัวไรมันร้องเสียง
แบบนีวะ สาดดดดด ตอนหลังเพิ่งมารู้จากการถามเจ้าหน้าที่ว่ามันเป็นสัตว์ชนิดนึงจำพวก กบ
หรือเขียด เวงแท้ๆ เสียงมันน น่าจับตัวไปเลี้ยงซะจริงงงง เฮ้อออ .. ก็ขับรถไปดูไป สักพักก็
กลับที่พักกัน พอไปถึงแายไฟไปก่อนเลยเผื่อมีตัวไร เข้าไอยู่ตามเต้นท์ ปรากฎว่า
ไม่มีตัวไร 555 เลยลงไปจุตะเกียง 2 ดวง ที่ ที่พัก แต่สิ่งที่เห็นคือ เฮ้ย ตัวเหี้ยไรวะ
มาคุ้ยถังขยะ ชั่วคราววะเนี่ยเละเลยยยยเลยดูรอยกัน ก็ไม่รู้เป็นตัวไรเหมือนกัน
มันมืดๆด้วย เลยเก้บกวาดขยะที่เลิะซะ แล้วก้นั่งคุยกันไปว่าพรุ่งนี้จะไปไหนดีวะ เลย
กะว่าพรุ่งนี้ ว่าจะไปเดิน่ปาซะหน่อย ตอนผ่านมาเห้นมีที่ให้เดินด้วย หลังจากนั้นก้นั่งต้มชา
กิน บางคนก็ กินยาเขียว ส่วน ผมกับหนุ่มก็ กิน เบียร์ดำเย็นๆอีกตามเคย (โค้ก น่ะ)ก้นั่งคุยกัน
พอดึกก็แยกย้ายกันนอน ก่อนนอน ก็คุยกันว่าเนี่ย ถ้าเสือ มันมา นี่จะทำไงวะ หนุ่มมันถามเรา
อือ ทำไงดีเราคิด เราก้บอกมันว่า เนี่ยหากเจอเสือ กูก็จะเตะมึงให้ล้มก่อน แล้วให้เสือมันกินมึง
แล้วกูที่เหลือจะขึ้นรถไปตามคนมาช่วยยย หนุ่มมองหน้าผมแล้วบอก ไอ้สาดดดดดด ไอ้เหี้ยมมมม
55555555 ก่อนนอน ก้เอามีดพร้า 1 อัน ยาว ฟุตกว่ามั้ง ฟิกแบะมันเอามา ผมเลยเอาใส่ไว่ในตระกร้า
แล้วบอกต่อกันว่าเอ้ย มีดอยู่ตรงนี้นะ กลางคืนเผื่อมีไรมีดก็ก็อยู่ตรงนี้เอามาใช้ได้ ส่วนรถไม่ได้ล้อก
ฟีนมันว่าเผื่อเสือมาก้วิ่งขึ้นรถได้เลย อ่ะ อ่ะ ทุกคนเริ่มมีแผนเอาตัวรอดแล้วไหมล่ะ หลังจากนั้นก็
แยกย้ายกันนอนตามเต้ท์ ฟิกนอนกับผม หนุ่มนอน กับฟีน เราว่าทุกคนกว่าจะนอนหลับคงคิดะไร
ไปเรื่อยนั่นหละ แต่รู้สึกว่า ผมจะนอนหลับคนสุดท้ายนะนะถามว่ารู้ได้ไงน่ะเหรอ ก้รู้ซิ
ฟิกแบะมันนอนข้างผมผมหันไป มันก้หลับไปซะแล้ว ส่วนเต้นท์ข้างๆ นี่ ฟีน กับ หนุ่ม
มันแข่งกันกรนซะขนาดนั้น เหมือน หมีเลยนะ ก้สงสัยอยุ่ ถ้าเสือมันมา คง เล่นงานเต้นท
ฺนั้นก่อนนี่หละ ส่วนตัวผมก็ นอนไป หัวนอน ก็มี ไฟฉาย อันนึง กับ ยาดม 1 อัน แล้วก็พีดพับ
ส่วนตัว เท่านั้น คิดไปคิดมาก็หลับไปในที่สุด แต่ก็ตื่นมาบ้างสาว่าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ
เช่นกันนะแต่ก็ไม่ได้ออกไปดุน่ะซิ เกิดออกไปดูแล้วเจอจะทำอย่างไรดีล่ะ แล้วก็หลับ หลับ
ฝันซะด้วย แต่ ฝันอะไรไม่ขอเล่าเดีกว่าา........

                      ตี5 ครึ่งของ วันรุ่งขึ้น อากาศยามเช้าชั่งสดชื่นนนนนนนนนน ซะจริง
แสงแดดตอนเช้าๆระหว่างตี ป่าสีเขียวๆ เสียงนกเริ่มออกหากิน โนี่มันอะไรกันเนี่ยยย
มีพวกกูอยู่ในป่านี้กันแค่ 4 คนเองหรือวะ ไปไหนกันหมดดดดดดดดดดดดดดด ตะโกน
ไปก็ไม่มีใครได้ยินหรือสนใจ จึงต้มน้ำเพื่อกินกาแฟก่อน ว่าจะทอดไส้กรอกด้วย
แต่ไม่ได้เอาไส้กรอกมา เลย มีแค่ขนมปังฟาร์เฮ้าส์ เท่านั้น หลังจากนั้นก็ไปแปรงฟัน
และรอน้ำเดือดไปด้วย กลับมาถึงน้ำก็เริ่มเดือด ทุกคนก็ตื่นกันหมด มาชื่นชมบรรยากาศยามเช้า
ซึ่งยังสลัวๆๆ อยุ่ หมอกลงพอสมควร มองเห็นกันลางๆนิดหน่อย (เวลาอยุ่ป่าหละตื่นเช้าเชียว
อยุ่บ้านล่ะก็ 3 โมงเช้านั่นถึงจะเริ่มกระดิกเฮ้ออ) หลังจากนั้นทั้งหมดก็นั่งกินอาหารยามเช้าตาม
มีกันไป ฟิกแบะมันขอตัวไปธุระส่วนตัวแต่เช้าในห้องน้ำเลย พร้อมกับหิ้วตะเกียงไปอันนึง
มันบอก ยังมืดอยู่ ในห้องน้ำถ้าปิดประตูจะมืดมากแสงเข้าไม่ถึงเลย (เจ้าหน้าที่รู้แล้วช่วยทำ
ให้มีแสงเข้าไปด้วยนะ) ฟิกแบะมันเลยขี้โดยเปิดประตู เป้นที่แน่นอนว่าไม่มีใครที่เหลือไปแอบ
ดูมันขี้เป็นแน่ สักพักฟิกแบะ มันเดินจากห้องน้ำแล้วทำเสียงจุ๊ๆ แล้วหลิ่วตาไปทางปากทางเข้า
ทันใดนั้นสิ่งที่พวกเราเห็นคือ น่าจะเป็นเก้งนะ ตัวมันย่อมๆสัก 4 ตัว เดิน งัวเงียกันยามเช้า มองมา
ทางเรา ผมก้ใจเต้นตุ้บๆ ในใจ นึกมีดอยุ่ไหนว ะ วันี้ได้กินเก้งแน่ ไอ้หนุ่มก็หยุดแล้วดูตามเก้งเดิน
มันคงคิดต่อจากผม ขอกูกิน่องนะเว้ยยย แล้วฟีนมันก้คิดต่อจากหนุ่ม ต้องทำน้ำจิ้ม ต้องทำให้
มากหน่อย ทันใดนั้น ก่อนที่เราจะทำอะไรลงไปทั้งหมด เก้งมันคงได้ยินที่เราทั้งหมด คิดหรืออะไรนี่หละ
มันวิ่งเผ่นหนีไปเลย ฟิ้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อด อด อดหมด อาหารเช้าขอองกู พวกเราเลยได้นั่งตกใจ
และเสียดายในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กได้รับความตื่นตาเล็กๆยามเช้า พอกินอะไรเรียบร้อยก็เดินดูรอบๆ
เจอเลย ครับ ตัวแรกที่เห็น ตอนนั้น สัก 8 โมงได้มั้ง นกตัวแรที่เห้นนี่ก็ ประทับใจแล้ว พญาไฟตัวผู้
สีแดงสดโดด ไปมา อยู่บนยอดไม้ ซึ่งหนุ่ม มันเห็นก่อน พวกเราเลยวิ่งเข้าไปดูกัน ฟิกแบะ
มันเลยฉวยกล้องดิจตอลคู่ใจไป แล้วทำการ เก้บภาพอย่างเมามัน ซึ่งมันก็ แอ้กท่าให้ถ่ายอย่างไม่อาย
แม้มันจะไกลไปบ้าง แต่ด้วยความที่มันสีแดงนี่เองเลย สังเกดเห็นได้ชัด สักพักก็มีอีกตังนึงบินมา
อ่า พยาไฟตัวเมียนี่เอง ลักษณะเป็นสีเหลืองสดเช่นกัน อะไรมันจะสัยปานนั้น ทั้ง 2 ตัววะ สักพักก็มี
พวก เขียวก้านตองบินมาเช่นกัน และ นกหัวขวานสีเทา ตัวใหญ่ และ นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง
อือ ถ่ายรูปไว้หมใดแล้ว ทุกตัวที่เห็นๆๆ 55 เราก็หัวเราะกันเหมือนอย่างผู้ชนะ (แต่ชนะเรื่องอะไรไม่รู้
แต่ก็เฮไว้ก่อนนน) แต่กิจกรรมยามเช้าที่พลาดไม่ได้คือ การเผาถ่านจุดยาตั้งเตาบารากู่
สูบแล้วมันได้บรรยากาศดีแท้ สักพักก็เริ่มเก็บข้างของไว้ในเต้นท์ เตรียมเดินทางผจญภัย เราก็ขับรถมาที่
ทำการของเจ้าหน้าที่ พบกเจ้าหน้าที่คนนึง หลังจากพูดคุยกันเขาก็แนะนำให้เราลองไปส่องนกดู
เขาถามเราชอบดูนกไหม เราพยักหน้ากันหงึกๆ ชอบคับ อือแล้วเอากล้องดูนกมาไหม พวกอะไร
โคปๆๆ นี่หละ กล้องที่เขาพูดถึง พวกเราเบ้ปากพร้อมบอก มีแต่กล้องดิจอตอลอ่ะ เขาเลยเบ้หน้า
สักพักเขาก้นำทางเราไป ดูนก นั่งรถไปแป้บเดียว เขาพาเาเดินเข้าไปในป่า เดินสักไม่ถึง 5 นาที
ก็พบกับ ที่สุ่มดูนก มีลักษณะเป็นบ้านเล็กๆ เข้าไปได้ไม่น่าเกิน 6 คนนะ เขาก็แนะนำให้เราเข้า
ไปในนั้น แนะนำให้ดูข้างหน้า มีแอ่งน้ำอยู่แอ่งนึง เขาว่าเดี๋ยว จะมีนกมาเล่นน้ำค่อยดูกันไป
เขาก้สลายตัวไปหลังจากพูดเสร็จ ภายในมี สมุดบันทึก 1เล่มพร้อมปากกา คอยให้ผู้มาดูเขียนลง
ไปว่าเจอนกอะไรบ้าง บันทึกก้มีคนเขียนกันพอควร บอกทั้งวันเวลา ปี พร้อมชื่อนก ผมูแล้ว
แต่ละรายจะเจอ ไม่ต่ำกว่า 10 ชนิดแน่ะ ผมก้นั่งดูกันสักพัก ได้ยินเสียงนกนะเพียบเลย
ก็ลุ้นอยุ่ว่าเมื่อไหร่ มันจะลงมเล่นน้ำ แดด ในวันนั้นก็พอมี ฟิก มันเลยตั้งกล้องไว้คอยท่า
ถ่ายรูปนก ซึ่งแอ่งน้ำก็ห่างจะบ้านระวังไพร ประมาณ 3 เมตร มั้ง รอตั้งนานนมันก็ไม่มสักที
ได้ยินแต่เสียงครับ ไอ้หนุ่มก็คอยเตรียมบันทึกเชียวว่าจะเจออะไรกันมั่งวันนี้ ผมก็คอยดูอยู่ที่
เท้านะว่ามีทากมาเกาะบ้างไหม สุดท้ายมันก้มีมาจริงๆ เลย ค่อยเขี่ยมันออกแล้วดีดตัวมันออก
ไปอย่างผู้ใจบุญและใจเย็น สักพักฟีนมันตะโกนเฮ้ยมาแล้วตัวนึง เราจึงเงียบ หันไปใช่เลย
นกอะไรวะ ผมนึกในใจสาดด ไม่รู้จัก ตัวสีตาลหัวสีเทา มาตัวเดียวเล่นน้ำอยู่พักนึง ตัวเมียก็
มาเล่นด้วย ฟิกแบะมันก็ถ่ายรูปอย่างไม่ยั้งหลายแอ้กชั่น แล้วมันก้บินไป แล้วหลังจากนั้นก้มีนก
ปรอทธรรมดาๆ ธรรมดาจริงๆ บ้านผมก้มีเฮ้ออ แม่งมาให้กูเห้นทำไมวะ บ้านกูก้มี ผมคิดในใจ
มากัน 4 ตัวได้ หลังจากนั้นก็เป้นคิวของ นกกาเขนดงครับ มา ทั้งผู้เมียเราก็ดูกันไป สักพัก
ทุกคนต่างมองหน้าหน้ากัน แล้ว หนุ่มมันตะโกน สาดดดด ใครตดวะ มองไปมองมา สรุปก็คือ
กูเอง กูตด แม่งด่ากันโฉงเฉงเลย 555 แล้วก้มีนกมาอีกหลายตัวให้ยลโฉมกัน อ่ะมีตัวนึงที่ผมเห็น
คนเดียว ขุนแผนแดง งามมาก มาไม่ถึง 5วินาที มาเกาะแล้วก็ไป แต่เสียงนกที่ อยู่แถวนั้นเยอะมาก
แต่มันไม่ยอมลงมาเล่นน้ำกันสักพักแดดหมด ฝนเริ่ม ลงหน่อยๆๆ เลย สลายตัจากจุดนั้น
เดินออกมาขึ้นรถ แล้วก็ไปดูทางที่เราจะเดินดูโป่ง ที่สัตว์มากินกัน ในนั้น เขาบอกว่าถ้าดูโป่งเดียว
ระยะทางเดินไม่มาก 30 นาที มั้ง ถ้าเดินดูรอบใหญ่ก็ 2 กิโลเมตรได้ถ้าจำไม่ผิดใช้เวลาสัก
ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เราเลย ตกลง ว่าไปกินข้าวก่อนเดี๋ยวมาเดิน แล้วเราก้แวะร้านขายของแถวนั้น
คุยกับแม่ค้าซื้อของนิดหน่อย ต้องซื้อนิดหน่อยจริงๆ เพราะมีของนิดเดียวที่ขาย แต่โชคดีที่
มียาเขียวขายด้วย เพื่นเราเลยสบายไป และก็ซื้อถุงเท้ากันทาก คนละอัน ปลอดภัยไว้ก่อน
แล้วก็กลับที่พักหุงอาาหรกินกัน สักพักฝนเริ่มลง แต่กลุ่มเรา แก้งค์โฟร์ ก้ยังมีความมุ่งมัน
ตกกูก็จะเดิน แดดก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ สุดท้ายก้เดิน เอารถไปจอดปากทางเข้า มี ศูนย์เจ้าหน้าที่
แถวนั้น ก่อนเข้าก้ชักภาพกันซะหน่อย ใส่ถึงเท้ากกันทากซะหมด ผมใส่ยืดลิเวอพูล สีแดง
กะไงรูปอกมา เจ๋งชัวร์ ใส่ถุงเท้ากันทาก ด้วย นั่น รวมกัน 4 คเหมือนเด็กญี่ปุ่นเลยว่ะ 55
แล้วมุ่งมันเดิหนน้ากันไป ป่ามันเป้นทางเดิน ได้ทีละคน เป็นแถวเดินได้ไม่ถึง10 เก้า โดน
กันทั่วหน้า ทากครับ มาเกาะเพียบเลย ดีนะมีถุงเท้าเลย เจาะเลือดเราม่ได้ ผมเลยเอา มีดพับท
ี่ซื้อจาก จตุจักร มีนบุรี มาเขี่ยมันท้งออกเบาๆ ถ้าตัวใหญ่ที่ทำท่าจะเจาะเลือดให้ได้ ผมก็จะแบ่งตัว
มันเป้น 2 ส่วน คนื่อนก็ค่อยๆแกะกันไป การเดินจะเดินเป้นแถว คนหลังดูคนหน้าว่ามีทากมางอแงไหม
ส่วนคนหลังสุดก็ดูตัวเอง นั่นคือ ไอ้หนุ่ม อิอิ เรราก็เดินมาถึงป่งแรก มันบ่อดินะมีน้ำอยุ่ตรงกลาง
ด้านข้างเป็นทุ่งหญ้าสูงเท่า เข่าทั้งหมด บนทุ่ง ตรงกลางแอ่งน้ำมีปลาดุก ดิ้น กะแด่วๆ อยู่หลายตัว
เราเห้นรอยเท้าสัตว์มากมาย เดาๆว่าคงเป้นพวก เก้งกวาง ทั่วไป เห็นขี้ช้างบ้าง เราก้เลยถ่ายรูปไว้
อีกตามเคย ที่ระลึก แล้วก้เดินต่อเข้าไปในป่าอันมืดมิด มืดจริงๆ เพราะฟ้ามันทำท่าจะร้องไห้
อากาศเริ่มเย็นลงในขณะทีตอนนั้นเพิ่ง 3 โมงเย็นเอง เราก้ได้ยินเสียงนกร้องได้ยินไปทั่วเห็นมั่ง
ไม่เห้นมั่ง ที่เห็นแน่ๆ ก็ นกซอฮู้ เลย โดดไปมา ตามทางเดินไปหยุดเขี่ยทากกันไป ด้วยความเบื่อ
เยอะเจงๆ ฝนเริ่มตกจนได้ เราก้เลยเอา ถุงยาง เอ้ยย ไม่ใช่ ถุง หรือ ชุดกันฝน ซื้อมาจาก ตัว
อันละ 14 บาท มาคลุมกายากัน ฟิกแบะมันก็เตรัมถุงพลาสติกมาคลุมกล้องถ่ายรูปไว้ เราก็เดินไป
ฝนตกไป มืดบ้างสว่างมั่ง ฟิกแบะนำทาง ฟีนเดินตาม รเาคนที่ 3 หนุ่ม ปิดท้าย หยุดพักบ้างยามเจอ
ป้ายบอกลักษณะสำคัญของป่าที่ผ่าน บางทางเขาก็เขียวว่ามีรอยต้นไม้โดนหมีมาถูไถเล่น
มันก็มีรอยจริงๆ เราก็เดิน เดินและเดิน จะชม บรรยากาศก้คงลำบาก จ้ำไปเรื่อย ฝนมันตกนี่หว่า
ฝนตกได้ ชั่วโมงมั้ง เริ่มจะ ซา ลง บ้าง พอถึงป่งที่ สอง ก็เจอรอยเท้าเพียบ โป่งนี้เขาบอกว่าช้าง
เยอะจากป้ายนะ เห้นขี้ช้างบานเลย ตาม โป่ง น่ะ(ไม่รู้ว่าเจ้ากที่มันอเามาโปรยป่าววะ
สร้างภาพประมาณนั้น) ฟิกมันเลยเอากล้องขึ้นมากะถ่ายรอยเท้าสัตว์ที่ปรากฎ แต่สิ่งที่
ได้คาดการณ์ล่วงหน้าก็เกิดขึ้น format error มันขึ้นฟ้องที่จอภาพ อีกแล้วครับท่าน ถ่ายภาพไม่ได
้ ทำอะไรมไ่ด้ทั้งนั้น เครียดเลย ก็พยายามแ้กไข กันนาน แต่ก็ไม่ได้ สรุปก็คือ เดี๋ยว กลบบ้าน
ค่อยว่ากัน เราก็เลยไม่ได้ภาพตรงนั้น และเดินออมาจากตรงนั้น เจอทางออกพอดี เลย สำรวจตัวเอง
ว่ามีทากเกาะไหม แต่ละคน โดนกันเยอะเลย ผมเองก็ โดนมันกัดทะลุถุงเท้ากันทากเลย
เลือดสาดดดด อยู่ตรงนั้นสักพักก็เริ่มเดินทางปที่รถ ซุ่งห่างจากจุดนั้น สัก 5 กิโลมั้ง เฮ้ออ
ไกลแิบหายยย เดินกันไปตามถนน ขณที่ฝนตกปรอยๆ หมอกลง บางๆ เดินคุยกันไปชมนก
ออกมาเล่น้ำกันไป ทันใดนั้นก็มีเสียง ปิ้นๆๆๆๆๆๆๆๆ โอ้ ไมน่าเชื่อ รถ 2 แถว รับส่งนักเรียน
ลูกกหลานเจ้าหน้าที่ผ่านมาพอดี เลยคาราวะงามๆแล้วขอโดยสาร ขึ้นไปด้วยเขาก็ไปส่งตรง
บ้านเจ้าหน้าที่ เราเลยลงตรงนั้น พร้อมกับสำรวจกล้อง กัน แล้วฟีนมันก็พูดเฮ้ยย นกยูงว่ะ
ผมหันไปก้มี นกยูง ตัวผู้ 1 ตัว กับกวาง 1 ตัวอยู่กลางสนามบอลหน้าบ้านเจ้าหนา้ที่ แต่อนิจจา
กล้องไม่สามารถถ่ายรูปได้ เราเลยได้แต่มองมันไป และก็เดินทางไปที่รถ ก่อนกลับ
แวะร้านขายของ และเข้าห้องน้ำแงะทากอีกเป้นครั้งสุดท้าย มันก้ยังค้างคาอยู่เยอะเจงๆ
ปล่อยเดินกันเต็มร้านเลย สักแป้บ นึง พวกผมก้สังเกด มี 2 สาว หน้าตาน่ารักเชียว คนนึงใส่
เสื้อแดง อีกคนดัดฟันตามสมัยนิยม เดินมาซื้อของ ถามไปถามมา เขาบอกเป็นเ้าหน้าที่ป่าไม
้ของอุทธยาน มฝึกงาน เขาถามว่าไปหนมา แม่ค้าบอว่า 4 คนนี้เพิ่งเดินป่าแล้วออกมา 2 สาว
เสียดายใหญ่เขาว่าถ้ารู้ว่าไปเดินป่ากันจะไปเดินไปด้วย พวกผมซิเสียดายกว่าอีก ถ้ารู้ว่าน้อง
จะเดินด้วยข้าก็ชวนไปนานแล้ว น่ารักกันขนาดนี้ เฮ้ออ แล้วเพื่อน 2 สาวก็เดินมา สม ทบ
แล้วก็เดินกลับเข้าบ้านพักให้เรา มองตามกันไป เราก็เลย สลายตัวเข้าที่พักของเรา กันไป
แยกย้ายกันอาบน้ำ แต่งตัวหุงหาอาหารกินกันไป แล้วก็มานั่ง คุยกันถึงเรื่องที่ผ่านมาในวันนี้
ฟีนกับ ฟิก หลัง กินยาเขียว ก็ขอตัวนอนกันไป ผม กับหนุ่มเลยเหลืออยุ่ 2 คน นั่ง จิบเบียร์ดำ
กันไป คุยกันไปเรื่อย พูดไปพูดมาเล่าเรื่อง ฮาฮา กัน หนุ่มมันเมาเบียร์ดำป่าวไม่รู้ หรือผม
ไปพูดโดน ต่อมอาอะไร จี้จุดของมันเข้า มันหัวเราะอย่างที่ไม่เคยหัวเราะมาก่อน จะตาย
เอาแน่ะ จนฟิก กับ ฟีน ต้องจึ้นมาดูอาการ ซึ่งมันกหัวเราอยุ่นั่นหละ เฮ้อออ ผมนึกในใจ
"นี่ถ้า กูยิงมุกไปอีก 2 ช้อต กูว่ามึงหัวเราะตาค้างตายตอนนี่หละวะ) เฮ้อออ หลังจากหัว
เราะกันเสร้จ คืนนั้น ฟ้าสว่างเลยดาวพียบ หนุ่มมันชี้ให้ดูดาวดวงนึง เป้นดาวสีส้ม
ขึ้นทางทิศไหนไม่รู้ มันบอกชื่อ ดาวนฤทธิ์ เป็นดาวประจำตัวมัน เพราะมัชื่อ นฤทธิ์
ว่างั้นเถอะ พวกผมมองมันด้วยหางตาด้วยความสมเพศ สาดดดด แล้ว ฟิกแบะมันก้ชี้
นั่น เลย ดาว วิฑูรย์ สว่างกว่าเพื่อน เห้นไหมล่ะ ไอ้หนุ่ม ก็ทำท่าทางหยะแยง แหวะ
ฟีนมันเลย ชี้ นี่ ของกู ดวงจันทร์ ว่ะ ขึ้นทุกวันนน เอออโว้ย มันมีดาวประจำตัวกันหมด
แย่งดาวดีดีไปหมอแล้ว แล้วดาวกล่ะ ดวงไหนดีวะ เออดวงไหนดี ต้องหาสักดวงเป็นดาวส่วนตัว
ในที่สุดก็หาเจอ ดวงเอ้บเลย ดาวลูกไก่ว่ะ มีเป็นหมู่ เลย 555 พวกมัน มองผมด้วยหางตา
ผมก็บอก เฮ้ยย ขอกูมีสักดวงไม่ได้ไงวะะ 55 ดูด่ว ชม ทางช้างเผื่อก ที่ มี วิญญาณ
ของ โกโบริ และอังศุมาลิน เสร็จก็เข้านอนกันไป แต่ ฟีนมันรู้สึกว่าข้างต้นไม้หลังเต้นท
์มันมีไรไหวๆนะ มองไปมันก็ไหวจริงๆ แต่ก็ไ่สน นอนหลับกัน น้ำค้งแรงวันนั้น หลับสนิท
เลยตื่นมาอีกทีเช้า เริ่มกิจกรรมยามเช้าอาบ้ำเก็บของ เก้บเต้นท์พร้อมสลายตัวกันกลับ
บ้านกัน ตอนนั่งอยู่ในรถ ที่ออกจากตรงนั้น จุดที่เรานอนกัน ฟีนมันถามขึ้นว่า เมื่อคืน
มีใคร มาเดินรอบเต้นท์ป่าววะ พวกเรมองหน้ากัน ไม่มีนี่หว่า เลยถามไปไมวะ มันบอกว่า
เมื่อคืน มีเหมือนใคร มาเดินรอบเต้นท์ มาเดินอย่างนี 2 คืนแล้ว แล้วเอาหน้ามาดูจ้อง
มองในเต้นท์ด้วย อือออ ใครวะ มาทำอย่างนั้น ฟีนมันว่า ทีแรกกะจะถามแล้วว่าใคร
มันว่า หากเป้นพวกผมเดินก็แล้วไป แต่หากเป็นเจ้าหน้าที่ ก็ไม่เป็นไร แต่หากไม่ใช่ท้ง 2 อย่าล่ะ
แล้ว มันเป็นใครวะ หรือว่าจะเป็น ผี ผี ผี ผ ผี ผ ีผ ผี ผี ผี ........กรู้วๆๆๆๆๆ เหงื่อตกเลยกู
แล้วเราก็ขับรถไปถึงที่ทำการ คุยกับเขาเล้กน้อย เราเลยถามว่า มีใครเดินไปที่ผมนอน
ไหมเมื่อคืนนี้ เขาว่า ไม่รู้ซิ แต่เขาว่าใครจะเดินไปล่ะจากตรงนั้น ถึงที่บ้านพักเจ้าหน้าที่
ไกลหลายดลนะ ดึกๆเขาไม่เดินกันหรอก อือออออ เราก็มองหน้ากัน แล้วมันเป็ยใครวะ?
และก็เดินทางออกจากตรงนั้น ขับรถกลับบ้าน แวะเขื่อนจุฬาภรณ์ ดูความงามแป้บ 1
และเดินทางกลับ ขากลับผ่าน มวกเหล็ก โทรหาเพื่อน ดีด เพื่อน สมัยเรียนมาด้วยกัน
เขาเปิดร้านขายกะหรี่พั้ฟ ร้านชื่อ ร้านคุณณีย์ ข้างทาง เลยฟาร์มโชคชัยมาหน่อยนึง
ก่อนเข้ากรุงเทพ สรุปว่ามันอยู่ เลยแวะเข้าไปทีแรกเพ่อนผมมันจะไม่แวะกัน ผมเลย
บอกไปว่า เนี่ย ดีด มันเพิ่งแต่งงานเมือปี้ที่แล้ว มันคุยว่แฟนมันสวยหน้าเหมือน นาตาชา
เลย เพื่อนผมเลยส่ายหน้า เอาวะ แวะก็ได้ ไปถึงมันก็ออกมาต้อนรับเลย เข้าไปในร้านเจอเลย
ภรรยา มัน เฮ้ย หน้าไม่เหมือน นาตาชาว่ะ แต่ สวยอย่างที่มันว่า แอบยินดี กับมันในใจ
พร้อมกับนึกใจใน เมื่อไหร่กูจะหาแฟนแบบมึงได้วะเนี่ยยย คุยกันครู่ใหญ่ก็ ซื้อ กระหรี่พั้ฟ
มหลายกล่อง มันก็ลเยแถม มาให้กินหันด้วย อือแล้วก้ล่ำลากัน และกลับบ้านถึงกรุงเทพในที่สุด....
                       
พอมาถึงอีกวันนึง ก็ทำการเอส เมมโมรี่การ์ดมาเช็กดู สรุปว่าพังครับ พัง รูปทุก
รูปที่ ถ่ายมา พญาไฟของกู รูปตอนเดินป่า โป่งดิน นกที่อุตส่าห์แอบดุมันมา หายเกลี้ยง
ไม่มีเลย ทำไงดีวะ คิดกันไปคิดกันมา วันรุ่งขึ้น เลย ไปที่ห้างพันทิพย์ ร้านที่ไปซื้อเมมโมรี่สติ้ก
มันมา ให้มันดู ว่าเคลมได้ไหม ไปที่ร้านไดโนเสาร์ มันว่าเคลมได้ 512 mb แน่ะ แต่ของ
ไม่มีตอนนี้หลาสยวันหน่อย ส่นรูปที่ถ่ายไว้เจ้าของร้านบอกผมพยายามกู้คืนให้ เลยลองดู
ปรากฎว่า แห้ว รูปที่ถ่ายมาจากภูเขียวหายหมด จบกันพอดี เลยเหลือ แต่ "เรื่องเล่าจากป่าภูเขียว"
เท่านั้น เหลือแต่ควาทรงจำ กับรอยทากเท่าัน้น ภูเขียววววว..ววว.ว.วว.ว.วว หลังจากนั้น ฟีนมันเลย
แก้ปัญหาด้วยการ ซื้อกล้องดิจิตอลอีก ตัว ยี่ห้อ แคนอน ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
มันจะบ้านกันใหญ่แล้ว แล้วซื้อไปกะไปคราวหน้า จะเอาโน้ตบุ้กไปด้วย เอากล้องไป 3 ตัว
เอา ที่ปั่นไฟ ไปด้วย จะได้ไม่เกิดเหตุการณอย่างนี้ขึ้นอีกกกกกกก ..... แล้วเรา 3 คน ฟิก ฟีน หมัด
ก็ เหลียวมอง ไปในร้าน นึงในพันทิพย์เจอชายฉกรรจ์ยืนหน้าร้านยออู่หลายคนเรา 3 คน มือไม้สั่นเทา
สายตามองด้านข้างเล็กน้อยด้วยความระแวง แล้ก็วตะโกนถาม ด้วยเสียงเบาๆ พอได้ยิน...
พี่พี ่ มีหนัง x ไหม เอาเรื่องกำลังแรงๆ มาสัก 5 เรื่อง ดิ 

 
                                                                                               
จบบริบูรณ์
                                                                                                   26/7/47


       ** ใครอ่านแล้ว กรุณาแสดงความคิดเห้นของท่าน ทางเวบบอร์ดด้วยครับ ซุกรอน ขอบคุณครับ **