Siampet.com  >>  Welcome to Siampet in  Thailand         
 
              
ขาขึ้น

รองเท้านารี
 
ซาลามานเดอร์

ดอกกระดุมเงิน
 

 

                           

งวดหน้า มี 2 ชัวร์
ลองแบก บ้างไหม ครับ




ฮอล ครับ เย็นแล้ว เย็นอีก
   
แทงกบ เม่ ปะ


        
สูบยา ฮะ
  


พักแป้บ นึงนะครับ

 


                  

ภูสอยดาว อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว

                                              
     รักจัง

                 สวัสดีครับ ได้เวลาต้อนรับลมหนาวกันแล้วนะครับ เป้าหมายการเดินทางในคราว
นี้ก็คือ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ภูสอยดาว เป็นทุ่งดอกไม้ช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นอุทยานแห่ง
ชาติ
แต่เดิมเป็นวนอุทยานภูสอยดาว จัดตั้งเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2533 โดยครอบ
คลุมพื้นที่ 48,962 ไร่ ในท้องที่อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอชาติตระ
การ จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาส่วนอุทยานแห่งชาติกรมป่าไม้ ได้สำรวจพื้นที่ป่าเพิ่มเติม
ท้องที่ อำเภอบ้านโคก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และอำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2537 โดยครอบคลุมพื้นที่ 125,110 ไร่ หรือ 199 ตารางกิโลเมตร เพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว

                  การไปเที่ยวอุทยานคราวนี้ ถือว่าเป้นที่ใหม่ สำหรับผมและ เพื่อนๆที่ไปด้วยกัน
พวกสถานที่ท่องเที่ยวแนวๆนีพวก ภูต่างๆก็ไปกันมาหลายที่ ตังแตภูกระดึง 3 ครั้ง ภูเรือ
2 ครั้ง ภูแปก ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ต้องอาศัยร่างกายที่แข็งแรง และอุปกรณ์ที่พร้อม
นะครับ เริ่มจากการไปหาซื้อรองเท้าดีดี สักครู่ ก็ฟารุกไปเจอ รองเท้ายี่ห้อ Hi-Tec ลด
ราคาที่ มาบุญครอง ซื้อมา 1 คู่ เท่านั้นหละ ครับ คนอื่นก็เลยไปดูกัน และ ซื้อมากัน คน
ละคู่ และก็ถึงวันเดินทางไปกัน อ่อไปคราวนี้ไม่สามารถนำเครื่องปั่นไฟ ไปด้วยได้ เพราะ
เขาห้ามนำขึ้นไป เสียงจะรบกวนคนอื่นๆ เขา ของจึงไปจำนวนจำกัด เพราะต้องจ้างลูก
หาบแบกของ ทั้งหมดขึ้นไป ซึ่งเราจะขึ้นโดยตัวเปล่าเท่านั้น นะ สมาชิกที่ไปกห็ไปกันทั้ง
หมด 9 คน รถ 2 คัน ก็มี รุก ฟิก หมัดนิ ริก รอน ยูนุช เฟา อิ๊ด และ ผม นั่นไงล่ะ ครับ
ครบ 9 คน หรือคณะ 9เกย์ นั่นเอง 5555 ไคราวนี้คุณ อารีฟีน พลาด ครับ ติดภารกิจ เลยเหลือเท่านี้ ไปรถของ ฟิก และ อิ๊ด ครับ เมื่อรวมตัวกันได้ก็ ออกเดิน
ทางการเดิน
ทาง
ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงตามที่ได้ ศึกษาเส้นทางกันมาครับ รถออกจากบ้าน ก็
4 ทุ่มของ วัน 22 ธันวาคม 2552 ไปถึงที่ภูสอยดาวก็เวลาประมาณ ตี 5 ครับ สบายๆ
กะไปนอนพักก่อนจะขึ้นเขา ตื่นเช้ามาก็เริ่มเตรียมตัวกินข้าวจัดของ รอลูกหาบ พร้อม
ที่จะขึ้นเขา อ่อ การไปคราวนี้ มี ริก กับ ฟิก ที่ขนอุปกรณ์ กล้องไป เยอะพอควร เพื่อ
ไปทำการถ่ายูปนก เป็นหลัก ซึ่ง ผมก็เอาไปด้วยกล้องนะครับ พอลูกหาบมา ก็ได้จัดการ
ให้เขทำการแบกขึ้นไป ซึ่ง น้ำหนักของทั้งหมดที่ ชั่ง ขึ้นไปก็รวมแล้ว 170 กิโลกรัม
เขาคิดค่าแบกกิโลละ 15 บาท ก็ไม่แพงเท่าไหร่ ชาวบ้านทั้งนั้นที่มาแบก มี ทั้ง ญ และ ช
พอจะขึนฟิก มันดูแล้ว อุกรณ์กล้องมันหนักแน่อาจขึ้นไมไหว เลยให้เขขาหาลูกหาบ เฉพาะ
กิจให้ในการแบกกล้อง ก็ได้ เด็กมาคนนึง อายุ 12 ปี ชื่อ นัน ครับมาช่วยแบกให้ อ่ะ ฟิก
มันมีลูกหาบ ส่วนตัว ผมดูแล้ว ผมก็อนาคตไม่ไหวเหมือนกัน เลยให้ นัน หาเพื่อนมาคนนึง
มาชาวยแบก เป้ ของผมเหมือนกัน เป้ ผม หนัก สัก4-5 กิโล ได้ สุดท้ายก็ได้มาคนนึงครับ
ชื่อ เอ็ม อายุ 10 ปี ให้ดิ้นตายดิ อายุ 10 ปี ข้ใช้แรงงานเด็กป่าววะเนี่ย ถามเขา ทั้งสองดู
ว่าเคยแบกไหม เอ็มกับนัน บอก สัมบายมาก เคยแบกอยู่ที่ 10-15 กิโลเลย แค่ของผมนี่
สัมบายมากจริงๆ อือ มันว่าไหว ผมก็ ok เลยบอกให้ระวังหน่อย ข้างกล้อง มันบอบบาง
อย่ากระแทก และเราก็เริ่มเดินทางกัน
    
     น้ำตกระหว่างการเดินทาง

     เริ่เเเริ่มเดินทางขึ้นภูสอยดาวเวลา
8.30 น. ก็เดินกันไปหละครับ
สบายๆเช้าๆแบบนี้อากาศเย็นๆ
มีหมอกลงบ้างลมพัดเอื่อยๆข้างทาง
ที่เดินผ่านเราก็ผ่านทั้งน้ำตกต้นไม้
ใหญทางค่อนข้างชันขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผมก็บอกกับลูกหาบส่วนตัวคือ เอ็ม
ไว้ว่า เดินอย่าห่างกู ตามๆกูไว้
เพราะว่าเป้ที่ เอ็มแบก นั้น มี น้ำอยู่
2 ขวด ครับเดินไปได้สักพักก็ถึง
ทางขึ้นเขาเป็น
เนินไปเรื่อยๆ มีป้ายบอกว่า เนิน ส่ง
ญาติ ไม่รู้ใคร ตั้งชื่อวะ แค่มาเนินนี้ก็โคตรเหนื่อยแล้ว หมดแรงเลย ผม ค่อนข้างจะรั้ง
ท้ายหน่อย คอยคุมเกมขอพูดเท่ๆ หน่อยนะ กลุ่มเราค่อนข้างจะเป็นกลุ่มแรกๆนะครับที่
ขึ้นมาบนนี้ของ วันนี้ เราเดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พักไม่เร่งรีบ เจอนก สวยๆ ฟิก กับ ริก ก็
หยุดถ่ายนก กัน ระหว่างทางมีนก พอสมควรแต่อยู่ไกลไปหน่อย ต้อง ซูมดีดี ถึง จะเห็น
แต่แดดก็ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ต้องอาศัย จังหวะดีดี ถึง จะได้ถ่ายรูปบ้าง ระหว่างทาง ที่ นี่
ไม่มีของขาย รวมถึงข้างบนด้วย ต้องเตรียมไปเอง ทั้งหมดครับ แต่ทางเดินยิ่งเดิน ยิ่ง ชัน
ชันจริงๆ ยังดีนะ ที่ ทาง ขึ้นเขาทำบันไดพร้อมมีราวให้เกาะ เป็นช่วงๆ ทำให้การเดินทาง
ไม่ลำบากกว่าที่เป็นอยู่นี่ถ้าผมไม่จ้างลูกหาบแบกกลอง สงสัย จะเสร็ยตั้งแต่ เนิน แรกๆ
ไปแล้ว ขนาดนี ยังแย่ แต่คนอื่นก็ยังเดินสบายๆ พวก รุก เฟา ยูนุช อิ๊ด พวกนี้ กองหน้าเลย
ครับเดินนำหน้าเสมอ มี ผมอยู่ ตรงกลาง กับ หมัดนิ ส่วน ฟิก กับ ริก ก็ หยุดถ่ายนกไปเรื่อย
สุดท้าย ของเนิน ที่เราเจอ กองจะถึงเป้าหมายที่ ลานกางเต้นของอุทยานคือ เนิน มรณะ
แม่งมรณะ จริงๆชันมากๆ ระยะทางไกลซะด้วย ต้องหยุดพักแล้วหยุดพักอีก โฮ เหนื่อยอ่ะ
น้ำที่เตรียมมาก็หมดซะนั่น กว่าจถึง ที่กางเต้น ก็ใช้เวลาเดินทางขึ้น 6 ชั่วโมง แน่ะ

  

       จากการเดินทางขึ้นภูอันยาวนาน ในที่สุดก็มาถึง จุดกางเต้นท์ กันจนได้ ครับ
นักท่องเที่ยว มียังไม่มากครับ เลยมีที่ กางเต้นท์ เยอะพอควรเลยหาเหลี่ยมสวยๆ กาง
ครับ อ่อ เจอ กลุ่ม ของพวก นักเดินทาง เขาขึ้นมาจองที่กางเต้นท์ไว้เยอะเชียว ส่วน
พวกผมก็เริ่มกางเต้นท์กันก็ได้ ราวๆ 4 เต้นท์ อ่ะ ที่ สำคัญ เจ้า นัน กับเจ้า เอ็ม มัน บอก
ว่าจะนอนค้างด้วย อ่ะ ยังไง ... มันก็ไปหาเต้นท์ มาจากไหนไม่รู้ มากาง หลังจากนั้น ก็
ทำการหุงอาหารกินกัน อ่อ พวกเด็ก มันก่อกองไฟซะนั่น ที่นี่เขาไม่ห้ามก่อกองไฟครับ
ก่อไฟกันเยอะเลย หลัง จากกินข้าวกันก็ นั่งพักสบายๆ ตกลงกันว่า วันนี้ จะยังไม่ไปไหน
นอน สบายๆ ผักผ่อนกันไปก่อน ส่วนใครที่มีแฟนก็เดินไป หา สัญญาณโทร ศัพท์ กันไป
ส่วนผมก็อยากอาบน้ำจะได้นอนสบายๆ เลยถาม นัน กับ เอ็มว่า นาย 2 คน ไปอาบน้ำที่ไหน
กันมา เอ็ม บอกไป ตรงลำธาร ที่ลำธารเล่นน้ำได้ ผมได้ยินดังนั้น ก็เตรียมตัวไปอาบเลย
ซึ่งมีฟิก กับ อิ๊ด ไปอาบด้วยกัน และให้เจ้า นัน กับ เอ็ม เป็นคนนำทาง ไปจุดอาบน้ำ พอ
ไปถึงเอ็มก็บอกว่า นี่ ตรงนี้ ต้นน้ำ เล่นไม่ได้ เขาเอาไว้ ตักน้ำกินกัน เราก็ ok เลย และ
ก็บอกให้เดินเลยไปท้ายน้ำอีกนิดนึง ตรงนั้น จะมี แอ่งใหญ่ๆ เลยเหมือนมีครขุดไว้
เอ็มกับ นัน บอกว่าเมื่อกี้อาบตรงนี้ และให้เราอาบตรงนี้ หลังจากนั้น เอ็ม กับ นัน ก็
เดินทางกลับที่พักไป เราเลย แปลงกายลงเล่นน้ำ ทั้ง ฟิก กับ อิ๊ด ด้วย น้ำเย็นสบายมาก
หายเหนื่อยเลยหละ เหมือนแช่ในอ่าง กำลังเล่นเพลินๆ ก็มีเสียงดุดุดัง ขึ้น เฮ้ย ทำไรกัน
ตรงนี้เขาห้ามอาบน้ำ เสียงเจ้าหน้าที่ นั่นเอง เขาบอกว่า เดี๋ยวพวกสบู่ลงไปในน้ำ ะวกหนอน
หรือ ซาลามานเดอร์ จะตาย (ใครจะไปรู้วะ) ให้ขึ้นมาให้หมดแล้วไปอาบน้ำห้อง น้ำตรง
โน้นนนน.... เซ็งเป็ดเลยกรู แล้วเขาก็เดินจากไป....
ปล่อยให้ ตัวเกือบสะอาดกันซะนั่น..
พอเริ่มค่ำๆ อากาศก็เริ่มเย็น ครับ และ มันก็มา ครับ ที่นี่ไม่มี ทาก แต่มี ตัวคุ่น ตัวเล็กๆ
มีปีกบินได้ กินเลือดเป็นอาหาร ครดดนกัน จะบวมเป็นตุ่ม ยิ่งเกา ก็ยิ่งมัน และจะถลอก
เป็นแผล กว่าจะหายคันก็ต้อง มี 7 วัน ขึ้นไปละครับ ใครไปก็หาทางป้องกันไว้ นะ
ตกดึกก็รวมตัวกันด้วยแสงตะเกียงดวงน้อย
และวางแผนว่าจะไปไหนกันมั่ง ในวันพรุ่งนี้
ส่วนฟิก กับ ริก ก็เอารูปมาดูว่าผลงานของวันนี้
ได้อะไรมั่ง ก็ได้นกแปลกๆหลายชนิด
ต้องเปิดหนังสือกันว่เป็นตัวไหนเพราะบางตัวมันไม่ชัด มีคล้ายๆ กันหลาตัว แต่ที่ได้จะจะ
ก็ของฟิก นกเขียวก้านตองอกสีส้ม หายาก ซะด้วย ไม่ค่อยได้เจอตามธรรมชาติเท่าไหร่
ที่นี่กลางคืน ความหนาวมาเยือนได้เร็วมาก มีลมพัดกรรโชกด้วย วัดอุณหภูมิ ด้วย นาฬิกา
casio รุ่น protrex ซึ่งมีกันหลายคน ได้ อุณหภูมิต่ำสุดของคืนนนั้น วัดได้ที่ 16 องศา
เย็นจริงครับ ก็นอนหนาวๆกันไป

  ลานสนภูสอยดาวยามเช้า

         ยามเช้ามาเยือนหลังจากนอนผักผ่อนกันไป มีหมอกมาเรื่อยๆ พัดผ่านยมเช้า
ต้นสนยืนท้าลมหนาวอยู่ ผมว่ามันคงหนาวมังหละต้นสนน่ะ แต่มันพูดไม่ได้ น่ะซิ ตื่นมา
ตอนเช้า ก็ชงกาอฟกินหาไรกินไป ส่วน ฟิกกับ ริก และ เฟา ก็ ออกไป ถ่ายรูปนก กัน
ตอนเช้า อ่อที่เรามาคราวนี้ ไม่ได้ เอาน้ำดื่มมาเลย นะครับ กะมากินน้ำฝนที่นี่ แต่ปัญหา
เกิด ฝนไม่ตกมาหลายวัน น้ำในถังเหลือน้อยมาก ก็ต้องเอาน้ำในลำธารมาต้มกินกัน
แต่ก็ ตักน้ำในถัง แม้จะเหลือน้อย ก็ต้องเอามาดื่มกัน ส่วนกลุ่มอื่น เขาเครียมกันมาเยอะ
ไม่เห็นมีใครจะมากินน้ำฝน กับน้ำลำธาร เหมือนพวกผมเลย อ่อ น้ำที่นั่น มีคน เขาขายถ้า
จำไม่ผิด น้ำ 2 ลิตร ราคา 40 บาท แม่งโคตรแพงเลย ข้าไปตั้ง 8 คน กี่ลตรถึงจะพอวะนั่น
ก็เลยกินน้ำฝน ต่อไป ห้องน้ำที่นี่ เขามีหลายห้อง ติดกับลำธาร แต่ทางอุทยานไม่มีความ
สามารถนำน้ำในลำธาร มาให้นักท่องเที่ยวใช้งานได้ ต้อง ทำการตักน้ำ ในลำธารมาใช้
ในห้องน้ำเองห้องน้ำก็มีกระป๋องไม่เพียงพอ ยังดีนะ ที่ เจ้าหน้าที่เขามี กระป๋องให้เช่า
ตกใบละ 10 บาทต่อวัน เลยเช่ามาใช้ 3 กระป๋อง นักท่องเที่ยววันนี้ น่าจะราวๆ มากกว่า
300 คน บนนี้ ปัญหาเรื่องน้ำนี่เรื่องใหญ่ จริงๆ

              

      วันแรกที่มาถึงก็เดินทางไปชม จุดสำคัญต่างๆ พวกน้ำตก ซึ่งทางเดินลงไป ค่อน
ข้างจะชัน พอสมควร ลื่นๆด้วย ต้อง ระวัง ครับ น้ำมีพอสมควรอากาศเย็น ๆมีฝนตกเล็ก
น้อย ระหว่างทางก้มี ดอกไม้หลากหลาย ฃนิด ขึ้น ตามทางเดิน อ่อ ตรงที่ทำการเจ้าหน้าที่
มีกล้วยไม้ รองเท้านารี เกาะต้นไม้ ออกดอกอวดโฉม งาม เชียวหละ มีทัง สิงโตก็ออกดอก
รวม ถึงกล้วยไม้ดินต่างๆระหว่างทางเดิน
  
            
          การเดินทางนี่เราต้องวางแผนดีดี นะครับ ว่าจะไปไหยบ้างต่อวันกะเวลให้
พอเหมาะจะได้เที่ยวได้ครบและคุ้มกับความเหนื่อยของเรา หลังจากเราเดินไป น้ำตก
เสร็จก็เดินทางกลับมา กินข้าวกลางวันที่เต้นท์ การหุงข้าวบนที่สูงนี่ ค่อนข้างลำบาก
มีปํญหา ทุกครั้ง กว่าจะหาทริกในการหุงข้าวได้ ก็ กิน ดิบ นิดๆ ไปหลายมื้อ ใช้น้ำเยอะ
การหุงข้าวบนนี้ ส่วน นัน กับ เอ็ม ก็ กินอยุ่กับเรา ตลอด สอบถาม ทั้งสองคนว่า มีที่ไหน
น่ไปบ้างแถวนี้ ทั้งสองตอบ คล้ายกันว่า ไม่เคยไป รู้แต่ว่ามีที่ไหน บ้าง แต่ไม่เคยไป
เคยหาบของขึ้นมาแล้วก็ ลงไม่เคยค้าง นี่ คร ั้งแรก อ่ะ เป็นซะงั้น แทนที่ มันจะ นำเรา
กลับเป้นเรา ต้อง นำแทน หลังจากกินข้าว ผักผ่อนเรียบร้อย พอบ่ายๆ เราก็ เดินทางต่อ
ไปดูหลักเขตประเทศ ไทย-ลาว ห่างจากจุดกางเต้นท์ไม่มาก ระหว่างทางเดินก็ เต็มไป
ด้วยดอกกระดุมเงิน ขึ้นเยอะไปหมดเลย พอไปถึง จุเหลักเขตประเทศ ก็อยุ่ บ สันเขา
ส่วนยอดภูสอยดาว จริงๆ น่าจะอยู่ ฝั่งลาว ต้องใช้เวลาเดินไปกลับ 1 วัน ข้างบนไม่มีที่พัก
สูงมาก ใคร ขึ้นไปได้เขามีประกาศนียบัตรให้ เจ้าหน้าที่ว่าอย่างนั้น แค่ที่ สำคัญเลย
หลักเขตไปนิดนึง นี่ ซิ นักท่องเที่ยว มีพอสมควร มันเป้นเพียงไม่กี่จุดบนอุทยานที่มี
สัญญาณโทรศัพท์บนนี้ เวลโทรห้ามขยับเพราะสายอาจจะหลุดได้ อือไม่น่าเชื่อเนอะ
บรรากาศดี ต้นสน ขึ้นเยอะ ลมเบาๆ อากาศเย็นสบายวันั้นไม่มีแดดเท่าไหร่ เหมาะแก่
การเดินเล่น แต่ไม่เหมาะกับการถ่ายรูปนก เพราะแสงไม่ค่อยมีเท่ไหร่ เลย ก็ นั่ง
ชมบรรยากาศ กันไปพอใกล้มืดก็เดินทางกลับที่พัก

   

         เมื่อเดินทางมาถึงที่พัก ก็ทำกับข้าวกินกัน อ่อ มีญาติ ของเจ้า นัน กับ เอ็ม มาเยี่ยม
กันเยอะเลยหละ ครับ มี ทั้งป้า แม่ พี่ ลุง มัน มาเยี่ยมทั้งนั้น ญาตเยอะจริงๆ ก็ ทั้งคู่เพิ่งเคย
มาค้างคืนครั้งแรก เลยคงเป็นห่วงน่ะครับ แม่ นัน ก็เอาหัวปลีกล้วยมาให้แกง ฟิกก็
็จัดการทำ แกงไปซะ ส่วนพวกเด็กๆ ก็ไปหาฟืน มา ก่อกองไฟกัน
ผมเห็นพวกลูกหาบเขา
แบกต้นสนใหญ่มากเลยนะ ยาวมากกว่า 2 เมตร นั่นหละ ตัดมาจากไหนไม่รู้ แบกกันมา
หลายคน คนละท่อน คงเอาไปทำฟืนกันั่นหละ ลูกหาบเขาคืนที่นี่เลย เพราะช่วงเช้า
จะมีคนกลับต้องแบกของลงไป อ่อ ลูกหาบคนนึง สามารถ แบกได้วันละ 2 เที่ยว เชียว
นะครับ เจ๋งไหมล่ะ คนนึง ก็ แบกได้อยู่ราวๆ 60 กิโลกรัม แต่ มีคนนึง เขาบอกวันนี้แบกมา
70 กิโลกรัม การแบกของเขา จะนำกระสอบมาทำเป็นเป้ ครับ ต่างจากที่ภูกระดึงจะใช้
ไม้ไผ่ใหญ่แบกขึ้นบ่าเหมือนหาบนั่นหละครับ จะแบกต่างกันยังไง แต่จุดมุ่งหมายก็เดียวกัน
อย่างไรเสีย นักท่องเที่ยวก็ไม่ต้องเหนื่อยกับการแบก ... แล้ว นัน กับ เอ็ม ก็กลับมา
กับท่อนฟืน อันไม่ใหญ่มาก เข้าใจว่าคงหายาก เพราะ ใครๆก้ต้องการฟืน ต้น ใกล้ ที่ตาย
แล้วสามารถ ทำฟืนได้ก็ไม่มีเหลือแล้ว ต้องไปหาไกลๆกัน พอมาถึงก็ก่อกองไฟ แต่ฟืนที่นี่ติดง่ายนะเพราะ ใช้น้ำมันจากยางสน ก็ เอา
มีดถากดูที่เนื้อไม้ดูว่าอันไหนมีรอย
ชุ่มน้ำของน้ำยางสนก็ส่วนนั้นจะติดได้ง่ายมาก ความรู้เลยนะนั่น ขณะนั้นเองครับเจ้าเอ็ม
กับ นัน ก็ เจอสาว 2 คน มาดึงตัวไป ให้ไปก่อฟืนให้เขาสอบถามดู บอกว่ามา 2 คน เท่านั้น
เอ็มกับนันเลย ช่วยก่อไฟให้ แหม สองสาวนี่เก่งจังมากันได้ 2 คน แต่หลัง จากนั้นก็มี
หนุ่มๆ ผ่านไปมาอาสามาช่วยกัน ก่อไฟ กางเต้นท์ให้ ทั้งนั้น มีกลุ่มผมนี่หละ ที่ ดูอยู่ห่างๆ
ไม่มีใครไปช่วยเลยเพราะอะไหว่า เก่งแต่ปากดี ทั้งนั้น ..

           

           แต่ ช่วงเย็นก็เกิดเหตุครับ ฝนตกครับ หนักด้วย คนที่เพิ่งขึ้นมาถึง เต้นท์ยัง
ไม่กาง ไม่มีที่ จะหลบฝนกัน นั่งจับกลุ่มใส่เสื้อกันฝน กันน่าสงสรเรียกมาให้อยู่ในเต้นท์พวก
ผมก็ไม่ยอมมากัน จะมาได้ไงล่ะครับ เขามากัน 9 คน ทั้งหมดเป็น ญ ล้วนๆ จะมารวมกับ
หนุ่มรูปงาม น้ำใจดี อย่างพวกผม คงกลัว ว่าจะหลงในรูป เข้าให้เลย ไม่ยอมมา ยอมตากฝน ซะงั้น กว่าฝนจะมาก้ค่ำอยู่ แต่ก็ ผ่านไปด้วยดี ฝนตกคราวนี้ก็ดีครับ คือรองน้ำฝนมากิน
อากาศก็เย็น คืนนั้น ยะเยือก ครับ คืนนั้น นอนคุยกันไป ดม้กันไเรื่อย หลังจากฝนหยุด ฟ้า
ก็ใสครับ ดาวเยอะเชียว มิน่า เรียกชื่อภูสอยดาว ดาวเยอะแบบนี้เอาไม้มาสอยดาว เนอะ
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันอน ครับ เต้นใครเต้น มันพรุ่งนี้ ต้องลุย ต่อ....

 

        เช้าวันต่อมา ตื่นเช้าเหมือนเคย หมอกเป็นลูกเหมือนเคยอีก อากาศดี คนเยอะ
สาวๆเพียบ จุดที่ผมกางเต้นท์ ใครๆก็ต้องเดินผ่าน ดูคนผ่านไปมา เนอะ จิบกาแฟ
ไปดูดบารากู่ไป สบายๆ วันนี้ แผนการเดินทางต้อง ไปที่ หน้าผา เดินเลาะๆ ตัดเข้าจน
ถึงจุดชายแดน ไทย-ลาว ก็เดินกันไปถ่ายรุปดอกไม้ ดอกไม้เยอะมาก ริก ถ่ายรูปดอกไม้ไว้
เยอะเลยหละครับ แดดไม่มีเท่าไหร่เลยถ่ายูปนกไม่ค่อยได้กัน แต่ก้สนุกดี สนุกกับการเดิน
เวลาถึงจุดนั่งพักก็นั่งพักกันไป ยูนุช ซิครับ ดันเจอ ตัวซาลามานเดอร์ แปลกมาก ตัว คล้าย
จิ้งจก ผสม จิ้งเหลน มีเขา เหมือน กิ้งก่า ตัวแดงๆ พวกเราเลย ถ่ายรูป เจ้าซาลามานเดอร์
กันเยอะมาก จากนั้นเดินทางต่อ และก็กลับ ฐาน หมดเวลไปอีกวัน พรุ่งนี้ต้องเดิน
ทางกลับซะแล้ว ต้องผักผ่อนเอาแรง

                  

         ตพอกลางคืน ก็นั่ง คุยกันหลังวจากการกินกับข้าว ซึ่ง ข้าววันสุดท้าย ก็เริ่มดี ขึ้น
ซึ่งแก้สที่เตรียมมาก็ใกล้หมดเต็มที ก้นังจับกลุ่ม คุยกันไปเรื่อย มีดาวดู มีเรื่องให้โม้
อากาศเย็นๆ ถ้ามี น้องๆมาด้วยท่าจะดี เช้าวันใหม่ก็มาถึง ครับ เริ่ม เก็บของ จะเดินทาง
กลับบ้านรอ ลูกหาบมารับของกลับ อ่อ ขยะที่มี ถ้า อันไหนย่อยสลายได้ ก็ ให้ ขุดหลุม ฝัง
ถ้าอันไหนพวกย่อยสลายไมได้ ให้ นำใส่ถุงดำ ลงไปทิ้งข้างล่างกฎเขาว่าอย่างนั้น น่ะ
สกำลัง ง่วนกับการเก้บของ แม่ เจ้า นันก็ เอาผ้าพาดไหล่ของผุ้หญิงมาขาย ก็เลย ซื้อกัน
เกลี้ยงเลย ไมเว้นแม้กระทั่ง ย่ามของ คนขายเลยหละ เรียบ จริงๆ
  

  
  
         
 
         หลังจากเก็บของเรียบร้อย ลูกหาบก็มารับของไป เราก็ค่อยเดินทางลงกลับบ้าน
จากยอดภู ขาลงเราทำเวลากันได้ดีนะครับ ไม่ถึง 3 ชั่วโมว ครึ่ง ถึงข้างแล้ว ข้างล่างคน
เยอะมากดูวุ่นวานไปหมด พอมาถึงก้หายเหนื่อย ครับ เปลี่ยน ลงเล่นน้ำตกที่ ข้างหน้าอุทยานเลย สบายไป หลังจากนั้นก็ กหาไรกินขึ้นรถเดินทางกลับบ้าน ขากลับแวะ
กินข้าวซอยที่ พิษณุโลก ด้วย ก็อร่อยไปอีกแบบ นะแล้วก็กลับถึงบ้านโดย สวัสดิภาพ....

                                                                                                                    หมัดบูรพา

 

 

      






   
   

้้้้้้ 
                         

   
   


   



   
   
  

   
         
         
         

www.siampet.com
Contact US Email : kmud@yahoo.com , Msn : jkmud@hotmail.com
Phone : +66(0)9-315-1029 , +66(0)2-381-7777 Contact Mr.Jaratroj
Thailand